- AI ในอีคอมเมิร์ซช่วยปรับประสบการณ์ช้อปปิ้งให้เหมาะกับแต่ละคน ด้วยการแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมและความชอบของลูกค้าแต่ละราย
- แชทบอท AI และผู้ช่วยเสมือนช่วยตอบคำถามลูกค้าและอัปเดตสถานะคำสั่งซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- เครื่องมืออย่างแมชชีนเลิร์นนิงช่วยคาดการณ์ความต้องการสินค้า ช่วยให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าขาดสต็อก
- การนำ AI มาใช้ให้ได้ผล เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่มีผลกระทบสูง เลือกเครื่องมือ AI ที่เหมาะสม แล้วขยายต่อเมื่อเห็นผลลัพธ์
พูดตรง ๆ เลย: การบริหารธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั้นวุ่นวาย ทั้งสต็อกล้น สินค้าขาด ลูกค้าถามไม่หยุด หรือปัญหาส่งของล่าช้า
เครื่องมือ AI สำหรับอีคอมเมิร์ซสามารถช่วยแบ่งเบาภาระงานของคุณได้มาก ที่จริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซกล่าวว่า AI ช่วยประหยัดเวลาให้พวกเขาได้ประมาณ 6.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
เมื่อมีธุรกิจออนไลน์จำนวนมากขึ้น สร้างเอเจนต์ AI และ AI สนทนาในอีคอมเมิร์ซ กำลังได้รับความนิยม จึงไม่แปลกใจเลยที่ 84% ของผู้เชี่ยวชาญอีคอมเมิร์ซ เชื่อว่า AI ช่วยให้ธุรกิจได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก
ในบทความนี้ ฉันจะพาคุณไปรู้จัก 10 ตัวอย่างการใช้ AI ในอีคอมเมิร์ซ หากคุณกำลังคิดจะใช้ AI ตัวอย่างเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ดี
1. การแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล

สรุปสั้น ๆ: การปรับแต่งด้วย AI เปลี่ยนแคตตาล็อกสินค้าขนาดใหญ่ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่คัดสรรเฉพาะ ช่วยให้ลูกค้าเจอสิ่งที่ต้องการจริง ๆ
Amazon ใช้ AI มาหลายปีแล้ว เพื่อปรับแต่งหน้าแรก ดีล และอีเมลต่าง ๆ และตอนนี้ ด้วย generative AI พวกเขาก็ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
แทนที่จะเสนอแค่ “สินค้าแบบเดียวกัน” ตอนนี้โมเดลของ Amazon สามารถแนะนำหมวดหมู่ที่ตรงใจมากขึ้น เช่น “กล่องของขวัญสำหรับวันแม่” หรือ “สมาร์ทวอทช์แบตอึด” โดยดูจากพฤติกรรมการช้อปปิ้งแบบเรียลไทม์
คุณไม่จำเป็นต้องเป็น Amazon ก็สามารถมอบประสบการณ์แบบนี้ได้ ด้วยเครื่องมือโอเพ่นซอร์สอย่าง OpenAI’s embeddings รวมถึงทรัพยากรอื่น ๆ เช่น LLM agents และ RAG แม้ทีมพัฒนาจะเล็กหรือไม่มีเลยก็สร้างระบบค้นหาอัจฉริยะได้
เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ เช่น:
- การแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อปรับแต่งการตลาด
- Vector embeddings เพื่อแทนค่าความชอบของผู้ใช้และจับคู่สินค้าได้ตรงใจ
นี่แหละคือพลังของ AI สนทนาในอีคอมเมิร์ซ และเมื่อเกิดขึ้นจริง ลูกค้าจะอยู่กับคุณนานขึ้น เชื่อใจมากขึ้น และใช่ พวกเขาก็ใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
2. แชทบอทบริการลูกค้า
การบริการลูกค้าที่ดีไม่สามารถขยายได้ด้วยคนเพียงอย่างเดียว การใช้ แชทบอท AI ในอีคอมเมิร์ซช่วยให้ธุรกิจรองรับปริมาณงานสูงได้โดยไม่ลดคุณภาพหรือความเร็ว
Sephora’s Virtual Assistant คือตัวอย่างที่ดี พวกเขาเปลี่ยนจากแชทบอทแบบเดิมที่จำกัด มาเป็น แชทบอท AI บริการลูกค้า แบบครบวงจร
ผู้ช่วยเสมือนใหม่นี้ไม่ได้แค่ตอบคำถามพื้นฐาน แต่ยังช่วยลูกค้าเลือกสินค้า ตรวจสอบสถานะคำสั่งซื้อ จัดการคืนสินค้า และจองคิวปรึกษาที่ร้านได้ด้วย เหมือนมีเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าพร้อมช่วยตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ AI agent แบบนี้สามารถ:
- ดำเนินการคืนสินค้าและคืนเงิน
- ตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า หรือข้อกำหนดต่าง ๆ ได้ทันที
- อัปเดตรายละเอียดบัญชีหรือการจัดส่ง
- จัดการปัญหาการชำระเงินหรือเปลี่ยนแปลงการสมัครสมาชิก
ด้วยเครื่องมือ AI ที่เหมาะสมสำหรับอีคอมเมิร์ซ คุณไม่เพียงแค่ทำให้บริการเป็นอัตโนมัติ แต่ยังทำให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วย
สำหรับ Able แพลตฟอร์มโค้ชสุขภาพเฉพาะบุคคล การใช้แชทบอทบริการลูกค้า ลดจำนวนทิกเก็ตที่ต้องดูแลเองลง 65% และประหยัดค่าใช้จ่ายด้านซัพพอร์ตได้มากกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
3. การป้องกันการฉ้อโกง
เมื่อมีอีคอมเมิร์ซและ AI การตรวจจับการฉ้อโกงไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาก่อน
ตัวอย่างเช่น PayPal ใช้ แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อตรวจจับการฉ้อโกงการชำระเงิน โดยสแกนข้อมูลธุรกรรมจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์
นั่นหมายถึง การจับสัญญาณผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบที่น่าสงสัยหรือการชำระเงินที่ผิดปกติ ก่อนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ โมเดลของพวกเขาเรียนรู้และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้รับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นได้
สุดท้ายแล้ว การตรวจจับการฉ้อโกงด้วย AI ก็เหมือนมี รปภ. ดิจิทัลที่ไม่เคยหลับ เป็นสิ่งจำเป็นหากคุณต้องการปกป้องลูกค้า
4. การรู้จำภาพ

พูดตรง ๆ เลย การค้นหาสินค้าด้วยคีย์เวิร์ดมักไม่ตรงใจ แล้วจะพิมพ์ว่าอะไรดีถ้าอยากได้ “เสื้อกันหนาวพอง ๆ สีคาราเมลที่เงากำลังดี” แบบนั้น?
นี่แหละที่การรู้จำภาพด้วย AI ในอีคอมเมิร์ซเข้ามาช่วย ให้ลูกค้าค้นหา ค้นพบ และช้อปด้วยภาพแทนการพิมพ์คีย์เวิร์ด
Pinterest คือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ด้วย Pinterest Lens ผู้ใช้ถ่ายหรืออัปโหลดภาพ แล้วแพลตฟอร์มจะแสดงสินค้าที่คล้ายกันให้เลือกซื้อทันที เป็นสะพานเชื่อมจากแรงบันดาลใจสู่การซื้อจริงด้วยพลังของ AI
การค้นหาด้วยภาพช่วยให้ลูกค้าค้นพบสินค้าตรงใจจากภาพจริง และเพิ่มอัตราการซื้อให้ธุรกิจ
5. การคาดการณ์ความต้องการ
การรู้ว่าลูกค้าจะซื้ออะไร เมื่อไหร่ อาจเป็นตัวแปรสำคัญของกำไรธุรกิจ
เหมือนกับร้านแฟชั่นหลายแห่ง H&M เคยเจอปัญหาสต็อกสินค้าทั้งล้นและขาดแคลน เพื่อแก้ปัญหานี้ H&M หันมาใช้ AI สำหรับคาดการณ์ความต้องการสินค้า
การคาดการณ์ความต้องการด้วย AI ใช้แมชชีนเลิร์นนิงทำนายว่าสินค้าไหนจะขายดี ลูกค้าจะซื้อเมื่อไหร่ และควรเตรียมสินค้าเท่าไหร่
ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลทุกอย่าง ตั้งแต่ยอดขายในอดีต พฤติกรรมการเข้าชม ไปจนถึงกิจกรรมท้องถิ่นและสภาพอากาศ โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงจะ อัปเดตตามข้อมูลใหม่ ๆ คอยจับสัญญาณและแนวโน้มที่เครื่องมือทั่วไปอาจมองข้าม
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใด ๆ ก็สามารถสร้างความสามารถแบบนี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยโซลูชันแบบไม่ต้องเขียนโค้ด
6. ห้องลองเสื้อเสมือนจริง

หนึ่งในความท้าทายใหญ่ของแฟชั่นออนไลน์คือความไม่มั่นใจ ลูกค้ามักไม่แน่ใจว่าเสื้อผ้าจะดูดีแค่ไหนเมื่อใส่จริง
ตอนนี้ AI สร้างภาพช่วยให้ลูกค้าลองเสื้อผ้าเสมือนจริง เห็นว่าเสื้อผ้าจะดูเป็นอย่างไรบนรูปร่างที่หลากหลาย ลดความไม่แน่ใจและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
ฟีเจอร์ ห้องลองเสื้อเสมือนจริงของ Google แสดงภาพเสื้อผ้าบนโมเดลจริงที่มีขนาดตั้งแต่ XXS ถึง 4XL สีผิว รูปร่าง และท่าทางที่หลากหลาย
จากเดิมที่ต้องจินตนาการจากภาพเดียว ตอนนี้ผู้ใช้ เห็น ได้เลยว่าเสื้อผ้าจะเป็นอย่างไรบนคนที่คล้ายตัวเอง
เทคโนโลยีนี้พิสูจน์แล้วว่าสามารถ:
- ลดอัตราการคืนสินค้า
- เพิ่มความมั่นใจและความพึงพอใจของลูกค้า
- นำเสนอความหลากหลายของลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น
- สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่แตกต่าง
เมื่อแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงง่ายขึ้น ธุรกิจทุกขนาดก็สามารถนำห้องลองเสื้อเสมือนจริงมาใช้ได้ง่ายขึ้น
7. การค้นหาด้วยเสียง
ยุคนี้ไม่ต้องพิมพ์แล้ว — แค่พูดก็พอ ด้วย AI สนทนาในอีคอมเมิร์ซ ผู้ช่วยเสียง ทำให้ลูกค้าค้นหาและซื้อของได้ง่ายกว่าที่เคย
ที่จริงแล้ว 90% ของชาวอเมริกัน คิดว่าการค้นหาด้วยเสียงสะดวกกว่าการค้นหาทางออนไลน์
Walmart นำหน้าด้วยฟีเจอร์ Walmart Voice Order ที่ให้ลูกค้าเพิ่มสินค้าในรถเข็นแค่พูดว่า “Hey Google, เพิ่มน้ำส้มกับไข่ในรถเข็นให้หน่อย”
ระบบนี้ใช้ การเข้าใจภาษาธรรมชาติ และประวัติการซื้อเดิม เพื่อเลือกสินค้าที่ถูกต้องและเพิ่มลงในรถเข็นโดยอัตโนมัติ
เมื่อการค้นหาด้วยเสียงได้รับความนิยมใน สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ช่องทางนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้า
8. การปรับราคาสินค้าให้เหมาะสม
ลูกค้าแต่ละคนยอมจ่ายในราคาที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการตั้งราคาที่เปลี่ยนแปลงได้จึงสำคัญมากในอีคอมเมิร์ซ ด้วย AI ธุรกิจสามารถปรับราคาให้เหมาะสมตามความต้องการ ฤดูกาล และพฤติกรรมของลูกค้าได้โดยอัตโนมัติทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีลูกค้าโต้ตอบกับ แชทบอทของ Booking.com AI จะนำข้อมูลอย่างตำแหน่งที่ตั้งและงบประมาณมาพิจารณา เพื่อแสดงราคาหรือข้อเสนอที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น อาจเป็นการปรับส่วนลด แสดงระดับราคาที่ต่างกัน หรือเน้นแพ็กเกจที่มีมูลค่าเพิ่มตามสิ่งที่ลูกค้าสนใจจริง ๆ
การตั้งราคาด้วย AI สามารถช่วยให้คุณ:
- ปรับราคาแบบเรียลไทม์ตามปริมาณสินค้าในสต็อกหรือความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง
- แบ่งกลุ่มลูกค้าและปรับโปรโมชั่นให้เหมาะกับความภักดีและประวัติการซื้อ
- ทดสอบราคาหลายแบบ (A/B) ได้โดยอัตโนมัติ
ถ้าคุณเบื่อกับการเปลี่ยนแปลงราคาด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา ระบบปรับราคาด้วย AI จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก
9. สร้างคอนเทนต์อัตโนมัติ
.webp)
การออกแบบคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมดใช้เวลามาก แต่ด้วย AI ที่สร้างภาพและเนื้อหาตามแบรนด์จากคำสั่งสั้น ๆ ได้ทันที คุณจะประหยัดเวลาในกระบวนการออกแบบได้มาก
นี่คือจุดเด่นของ Magic Design ของ Canva ที่ช่วยประหยัดเวลา เพียงแค่พิมพ์ข้อความสั้น ๆ ว่าอยากให้โพสต์ของคุณหน้าตาเป็นอย่างไร
เครื่องมือนี้จะสร้างภาพที่ดูเป็นมืออาชีพทันที ไม่ว่าคุณจะทำโพสต์ Instagram วิดีโอ YouTube หรือพรีเซนเทชั่น คุณยังสามารถอัปโหลดรูปของตัวเองและปรับสไตล์ให้ตรงกับแบรนด์ได้ในคลิกเดียว ทำให้ทุกดีไซน์เข้ากับธุรกิจของคุณ
สุดท้าย AI สำหรับการตลาดดิจิทัล จะช่วยให้คุณใช้เวลาน้อยลงกับหน้าจอเปล่า ๆ แล้วโฟกัสกับการสร้างสรรค์มากขึ้น
10. ยกระดับโลจิสติกส์
ตามข้อมูลของ McKinsey เกือบ 20% ของต้นทุนโลจิสติกส์ มาจากสิ่งที่เรียกว่า “blind handoffs” หรือช่วงเวลาที่ไม่ชัดเจนระหว่างการส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังปลายทาง
ข่าวดีคือ AI กำลังเปลี่ยนแปลงวงการโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนเหล่านี้ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ AI สามารถปรับปรุงตั้งแต่การวางแผนเส้นทางไปจนถึงการจัดวางสินค้าในคลังได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่างเช่น UPS ใช้ AI agent ที่ชื่อ ORION (On-Road Integrated Optimization and Navigation) เพื่อวางแผนเส้นทางที่ชาญฉลาดขึ้นให้กับพนักงานขับรถ แทนที่จะใช้เส้นทางเดิม ๆ ORION จะคำนวณเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดและเรียนรู้ตลอดเวลา
ผลลัพธ์ที่ได้คือ
- ประหยัดระยะทางได้ 100 ล้านไมล์ต่อปี
- ลดต้นทุนได้ 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี
- ลดการปล่อยคาร์บอนลง 100,000 ตันต่อปี
ด้วย AI ในโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ คุณจะไม่เพียงแค่ส่งของได้เร็วขึ้น แต่ยังฉลาดขึ้นด้วย ลดความล่าช้า ลดต้นทุน และเห็นภาพรวมของซัพพลายเชนได้ชัดเจนขึ้น
เครื่องมือ AI ที่ดีที่สุดสำหรับอีคอมเมิร์ซ
Botpress

ถ้าคุณอยากใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในอีคอมเมิร์ซ Botpress คือหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด
Botpress โดดเด่นเมื่อคุณต้องการแชทบอทที่ทำได้มากกว่าตอบคำถามพื้นฐาน เช่น ช่วยลูกค้าเลือกสินค้า แนะนำขั้นตอนการซื้อ ติดตามออเดอร์ หรือช่วยแก้ปัญหาหลังการขาย และยังปรับแต่งได้เต็มที่ให้ตรงกับเสียงของแบรนด์คุณ
ฟีเจอร์เด่น ๆ ได้แก่
- เครื่องมือสร้างโฟลว์แบบภาพ
- ความเข้าใจภาษาธรรมชาติ (NLU)
- รองรับหลายช่องทาง
- คลังรวมอินทิเกรตสำเร็จรูป
- เครื่องมือวิเคราะห์และดีบักในตัว
ที่สำคัญคือใช้ฟรี และยังมี แพ็กเกจแบบชำระเงิน ตั้งแต่ $89 ถึง $495 สำหรับโปรเจกต์ที่ซับซ้อนขึ้น
ถ้าแบรนด์อีคอมเมิร์ซของคุณกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วหรือมีปริมาณงานซัพพอร์ตสูง Botpress เหมาะมากสำหรับลดจำนวนทิกเก็ตและตอบกลับลูกค้าได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเหมาะกับกลยุทธ์ product-led growth เพราะช่วยระบุผู้ใช้ที่มีแนวโน้มซื้อสูงและส่งต่อให้ทีมขายได้ (ใช่ มีบอทสำหรับงานนี้ด้วย)
สรุปแล้ว ถ้าคุณมองหาแพลตฟอร์มแชทบอทที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจและสร้างบทสนทนาแบบเฉพาะตัวในวงกว้าง Botpress คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เป็นหนึ่งในเครื่องมือ AI ที่ยืดหยุ่นที่สุดสำหรับอีคอมเมิร์ซด้วยเหตุผลที่ชัดเจน
Coveo

ถ้าคุณเคยเข้าเว็บร้านค้าออนไลน์แล้วรู้สึกว่าช่องค้นหามีประโยชน์จริง ๆ มีโอกาสสูงว่าเบื้องหลังคือ Coveo
เครื่องมือนี้เน้นทำให้เว็บไซต์ของคุณฉลาดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบค้นหาด้วย AI การแนะนำสินค้าตามความสนใจ หรือคอนเทนต์ที่ปรับเปลี่ยนตามเจตนาของลูกค้า ใช้ machine learning และข้อมูลพฤติกรรมเพื่อทำนายสิ่งที่แต่ละคนต้องการ ให้คุณไม่ต้องใช้วิธีแบบเดียวกับทุกคนอีกต่อไป
ฟีเจอร์เด่น ๆ ได้แก่
- ค้นหาอัจฉริยะ
- แนะนำสินค้า
- ระบบปรับแต่งเนื้อหาเฉพาะบุคคล
- ทดสอบ A/B และวิเคราะห์ข้อมูล
- การเชื่อมต่อ
มีทดลองใช้งานฟรี แต่ ราคาค่าบริการ ไม่ได้แจ้งไว้ ต้องติดต่อฝ่ายขายเพื่อขอใบเสนอราคาตามความต้องการ
Coveo เหมาะมากสำหรับการปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีแคตตาล็อกสินค้าขนาดใหญ่ (หลักร้อยหรือพัน SKU) คุณจะต้องการวิธีที่ฉลาดขึ้นให้ลูกค้าค้นหาสิ่งที่ต้องการ
ถ้าอยากให้ทุกคนที่เข้าเว็บรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ การปรับแต่งด้วย AI ของ Coveo คือทางเลือกที่ยากจะเทียบ
Bloomreach

ถ้าแบรนด์อีคอมเมิร์ซของคุณต้องการประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อและเฉพาะตัวตั้งแต่หน้าแรกจนถึงเช็คเอาต์ Bloomreach คือเครื่องมือที่ควรลอง
Bloomreach ผสาน AI ข้อมูลลูกค้า และคอนเทนต์ เพื่อสร้างระบบค้นหา แนะนำสินค้า และการตลาดอัตโนมัติแบบเฉพาะบุคคล จุดเด่นคือการนำข้อมูลพฤติกรรมและธุรกรรมมาปรับแต่งประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์เด่น ๆ ได้แก่
- ค้นหาและจัดการสินค้าด้วย AI
- ระบบปรับแต่งเนื้อหาเฉพาะบุคคล
- ระบบจัดการคอนเทนต์ (CMS)
- ระบบการตลาดอัตโนมัติ
- เชื่อมต่อกับ CDP
Bloomreach ทรงพลังมาก แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นอาจจะเกินความจำเป็น ราคาค่าบริการ ก็เป็นแบบกำหนดเอง ไม่มีราคากลางให้เห็นชัดเจน
แต่ Bloomreach เหมาะกับแบรนด์อีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ที่อยากยกระดับการค้นหาและปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือหลายตัว ถ้าคุณต้องการเพิ่มอัตราแปลงยอดขาย ลดการออกจากหน้าเว็บ และทำให้ทุกการเข้าชมมีความหมาย แพลตฟอร์มนี้ตอบโจทย์
Algolia

ถ้าลูกค้าหาสินค้าไม่เจอ พวกเขาก็จะออกจากเว็บ นี่คือจุดที่ Algolia เข้ามาช่วย
Algolia เน้นความเร็วและความตรงประเด็น AI ของเขาไม่ได้แค่จับคีย์เวิร์ด แต่เข้าใจบริบท ความต้องการของผู้ใช้ และแม้แต่คำผิด เพื่อแสดงสินค้าที่ใช่ได้ทันที แถมยังมีเครื่องมือให้ทีมของคุณ ปรับแต่งการค้นหา ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนได้ด้วย
ฟีเจอร์เด่น ๆ ได้แก่
- ค้นหาด้วย AI
- แนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล
- สตูดิโอจัดการสินค้า
- ทดสอบ A/B และวิเคราะห์ข้อมูล
- เน้น API และเหมาะกับนักพัฒนา
ราคาตามการใช้งานจริง เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทราฟฟิกสูง ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นเร็ว และการปรับแต่งเต็มประสิทธิภาพมักต้องอาศัยนักพัฒนา
ถ้าความเร็วและความแม่นยำคือสิ่งสำคัญ Algolia คือคำตอบ
Klevu

ถ้าคุณมีร้านค้าออนไลน์แต่ช่องค้นหายังไม่โดนใจ Klevu อาจเป็นตัวเลือกถัดไป เป็น แพลตฟอร์มค้นหาและค้นพบสินค้าด้วย AI ที่ออกแบบมาสำหรับร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ เหมาะมากถ้าคุณใช้ Shopify, BigCommerce หรือ Magento
Klevu ผสานการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และ machine learning เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาสิ่งที่ต้องการได้ แม้จะไม่แน่ใจว่าจะค้นหายังไง ตั้งแต่รองรับคำผิดไปจนถึงผลลัพธ์เฉพาะบุคคล ทำให้ประสบการณ์ค้นหาดูเหมือนเข้าใจลูกค้าจริง ๆ
ฟีเจอร์เด่น ๆ ได้แก่
- ค้นหาอัจฉริยะ
- แนะนำสินค้าด้วย AI
- จัดการสินค้าและระบบอัตโนมัติ
- เครื่องมือแก้ไขภาพแบบเห็นผลทันที
- เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ทันที
Klevu ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกที่สุดในตลาด ดังนั้น ในแง่ของราคา จึงเหมาะกับร้านค้าที่พร้อมลงทุนเพื่อประสบการณ์การค้นหาที่ชาญฉลาดขึ้น นอกจากนี้ยังทรงพลังมาก แต่การตั้งค่าและปรับแต่งอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อให้เหมาะสมที่สุด
Klevu เหมาะมากหากคุณต้องการทำให้การจัดเรียงสินค้าอัตโนมัติ แต่ยังสามารถควบคุมและกำหนดสิ่งที่ลูกค้าจะเห็นได้ด้วยตัวเอง
สรุปคือ Klevu ช่วยให้ลูกค้าค้นหาสินค้าที่ต้องการได้เร็วขึ้น และช่วยทีมอีคอมเมิร์ซนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม
สร้าง AI Agent ได้ฟรี
ไม่ว่าคุณจะอยากรู้วิธีใช้ AI ในอีคอมเมิร์ซหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้คือเวลาที่ดีที่สุดในการทดลองใช้งาน
Botpress คือแพลตฟอร์มสร้าง AI agent สำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะมีพื้นฐานด้านเทคนิคหรือไม่ก็ตาม สร้าง flow ได้ด้วยภาพ ทดสอบคำตอบกับข้อมูลผู้ใช้จริง และเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลของธุรกิจคุณเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุด
ไม่ว่าคุณจะสร้างเอเจนต์ดูแลลูกค้าหรือเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน Botpress ก็ช่วยให้คุณสร้างเอเจนต์ AI ได้ง่ายดาย
คำถามที่พบบ่อย
ควรเลือกใช้กรณี AI แบบไหนเป็นอันดับแรกสำหรับร้านอีคอมเมิร์ซของฉัน?
คุณควรเลือกกรณีการใช้ AI ที่แก้ปัญหาหลักของคุณ เช่น ลดต้นทุนซัพพอร์ต เพิ่มยอดขาย หรือจัดการสต็อก และควรเลือกในส่วนที่คุณมีข้อมูลพร้อมใช้งาน เพื่อให้โครงการแรกของคุณเห็นผลลัพธ์ชัดเจนโดยไม่สร้างภาระให้ทีมมากเกินไป
AI เหมาะกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เท่านั้น หรือร้านเล็ก ๆ ก็ได้ประโยชน์ด้วย?
AI เหมาะกับร้านอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กเช่นกัน เพราะมีเครื่องมือราคาย่อมเยาและแพลตฟอร์มแบบไม่ต้องเขียนโค้ด ช่วยให้ร้านเล็ก ๆ ทำงานอัตโนมัติ เช่น แนะนำสินค้า หรือแชทซัพพอร์ต โดยไม่ต้องใช้เงินหรือทีมเทคนิคจำนวนมาก ทำให้แข่งขันกับร้านใหญ่ได้
โดยทั่วไปแล้ว การนำ AI มาใช้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซใช้เวลานานแค่ไหน?
การนำ AI มาใช้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันสำหรับโซลูชันสำเร็จรูปอย่างแชทบอท หรืออาจนานหลายเดือนสำหรับโครงการที่ซับซ้อน เช่น ระบบค้นหาเฉพาะบุคคลหรือการคาดการณ์สต็อก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับการปรับแต่ง
ควรตั้งงบประมาณเท่าไหร่สำหรับการนำ AI มาใช้ในอีคอมเมิร์ซ?
คุณควรเตรียมงบประมาณตั้งแต่หลักร้อยดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับเครื่องมือ AI พื้นฐาน เช่น แชทบอทหรือปลั๊กอินค้นหา ไปจนถึงหลักหมื่นดอลลาร์สำหรับระบบเฉพาะทางหรือการเชื่อมต่อแบบกำหนดเอง โดยต้องคำนึงถึงทั้งค่าสมัครสมาชิกและค่าพัฒนาระบบเพิ่มเติม
จะป้องกันไม่ให้เครื่องมือ AI แนะนำหรือให้คำตัดสินที่ผิดกับลูกค้าได้อย่างไร?
คุณสามารถป้องกันไม่ให้เครื่องมือ AI แนะนำสิ่งที่ผิดได้โดยตรวจสอบผลลัพธ์เป็นประจำ และเลือกแพลตฟอร์มที่ให้คุณปรับแต่งโมเดลตามข้อมูลธุรกิจของคุณได้ง่าย





.webp)
