- AI ในการตลาดช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบทันที และมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลโดยใช้แรงงานน้อยลง
- AI สามารถระบุเซ็กเมนต์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้แบบเรียลไทม์
- AI agents ช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพขึ้นด้วยการทำงานอัตโนมัติ เช่น การตั้งเวลาอีเมลและโพสต์โซเชียลมีเดีย
- AI agents สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านอีเมล หน้าแลนดิ้ง และคำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของแต่ละผู้ใช้
การตลาดดิจิทัลในอดีตเหมือนกับการเดินทางโดยใช้แผนที่กระดาษ
มันก็สนุกดี แต่ต้องใช้แรงงานเยอะ คาดเดาเอง และมักมีอุปสรรคระหว่างทาง คุณต้องค้นหาคีย์เวิร์ด ตั้งเวลาโพสต์ และติดตามผลด้วยตัวเอง หวังว่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ถูกเวลา
เมื่อมี AI agents เข้ามา ก็เหมือนอัปเกรดเป็น GPS ที่วางเส้นทางเร็วที่สุด ทำนายสภาพจราจร และแนะนำเส้นทางสวยงามให้ด้วย
ด้วย AI agents สำหรับการตลาดดิจิทัล แคมเปญจะเรียนรู้ ปรับตัว และเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ เปลี่ยนการตลาดจากงานที่ต้องทำเองเป็นการผจญภัยที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
เหมือนกับที่แผนที่ดิจิทัลเปลี่ยนการเดินทาง AI agents ก็กำลังเปลี่ยนโฉมการตลาดดิจิทัล
AI ในการตลาดดิจิทัลคืออะไร?
AI ในการตลาดดิจิทัลคือการนำ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลและปรับกลยุทธ์การตลาด ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลโดยใช้แรงงานน้อยลง
AI agents ยังใช้ AI เชิงสนทนา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบทันที และปรับเป้าหมายตามปฏิสัมพันธ์
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังทำแคมเปญโฆษณาสินค้าดูแลผิวใหม่ การตลาดแบบเดิมอาจต้องระบุกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อมูลที่จำกัดและไม่อัปเดต ต้องใช้เวลามากและอาศัยแบบสอบถามหรือวิธีที่ใช้แรงงานสูงเพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจล้าสมัยเร็วเมื่อความต้องการลูกค้าเปลี่ยนไป ทำให้แคมเปญไม่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพน้อยลง
แต่ AI ยกระดับการกำหนดเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ระบุเซ็กเมนต์เฉพาะ เช่น ผู้ใช้ที่ค้นหา ‘ครีมลดริ้วรอยจากธรรมชาติ’ และส่งโฆษณาเฉพาะบุคคล ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำและทันต่อพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง
วิธีใช้ AI agents สำหรับการตลาดดิจิทัล

1. การแบ่งกลุ่มและกำหนดเป้าหมายผู้ชม
AI agents วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งเพื่อระบุเซ็กเมนต์ผู้ชมอย่างละเอียดตามลักษณะ ความชอบ และพฤติกรรม
ช่วยให้นักการตลาดส่งแคมเปญที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น มั่นใจว่าคอนเทนต์จะถึงมือคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม
เช่น บริษัท SaaS ที่เปิดตัวเครื่องมือจัดการโปรเจกต์ใหม่ อาจใช้ AI agents วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่ง ทั้งพฤติกรรมบนเว็บไซต์ การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย และข้อมูลจาก CRM
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้บริษัทแยกกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เช่น สตาร์ทอัพที่มองหาเครื่องมือที่ขยายได้ กับทีมองค์กรที่เน้นการเชื่อมต่อกับระบบอื่น
จากนั้นจึงปรับแคมเปญให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม เช่น สตาร์ทอัพจะเห็นโฆษณาเน้นราคาคุ้มค่า ส่วนทีมองค์กรจะเห็นข้อความเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบอย่างไร้รอยต่อ
2. การทำแคมเปญให้คล่องตัว
AI agents รวมถึง AI sales agents ช่วยให้การดำเนินแคมเปญการตลาดเป็นไปอย่างคล่องตัว ด้วยการทำงานอัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาอีเมล วางโฆษณา และโพสต์โซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งปรับเวลาและข้อความเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
AI agents สามารถทำงานการตลาดอัตโนมัติเพื่อให้แคมเปญดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
- การตั้งเวลาอีเมล: ส่งอีเมลต้อนรับพร้อมคู่มือเริ่มต้นที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม
- การวางโฆษณา: รันโฆษณา Google ด้วยคีย์เวิร์ดอย่าง “ซอฟต์แวร์จัดการโปรเจกต์ที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพ” และปรับงบประมาณตามผลลัพธ์
- การโพสต์โซเชียลมีเดีย: ตั้งเวลาโพสต์โชว์ฟีเจอร์ที่เหมาะกับฟรีแลนซ์ในช่วงเวลาที่มีคนใช้งานมากที่สุด
3. การปรับตัวแบบเรียลไทม์
จุดเด่นของ AI agent คือสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญแบบเรียลไทม์ โดยใช้ ระบบหลายเอเจนต์ (MAS) ที่ทำงานร่วมกัน วิเคราะห์ข้อมูลผลลัพธ์ และปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การตลาดโดยรวม
ถ้าโฆษณาใดไม่เวิร์ก AI ก็จะปรับเนื้อหา เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย หรือโยกงบไปยังช่องทางที่ได้ผลดีกว่า
ระหว่างที่แคมเปญของ SaaS ดำเนินไป AI agent จะติดตามผลและปรับเปลี่ยนแบบไดนามิก เช่น
- ถ้าโฆษณาที่เจาะกลุ่มสตาร์ทอัพไม่เวิร์ก AI จะปรับหัวข้อให้เน้นความคุ้มค่าหรือโยกงบไปยังกลุ่มที่ได้ผลดีกว่า
- AI พบว่าฟรีแลนซ์มีส่วนร่วมกับวิดีโอมากกว่า จึงเปลี่ยนไปผลิตวิดีโอสั้นโชว์ฟีเจอร์การติดตามงาน
4. การปรับแต่งแบบไดนามิก
AI agent ใช้ข้อมูลจากปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อสร้างคำแนะนำ อีเมล และโฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
โดยใช้ข้อมูลจากการโต้ตอบกับลูกค้า AI จะปรับแต่งแต่ละจุดสัมผัส เช่น
- อีเมล: ฟรีแลนซ์จะได้รับคำแนะนำฟีเจอร์เพิ่มประสิทธิภาพส่วนตัว ส่วนทีมองค์กรจะเห็นกรณีศึกษาขององค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้ซอฟต์แวร์นี้
- หน้าแลนดิ้ง: ผู้ที่คลิกโฆษณาสำหรับสตาร์ทอัพจะเจอหน้าที่โชว์ความสามารถในการขยายและแพ็กเกจราคาที่เหมาะกับธุรกิจที่กำลังเติบโต
5. การตลาดเชิงสนทนา
หนึ่งในแอปพลิเคชันที่ทรงพลังของ AI ในการตลาดดิจิทัลคือ การตลาดเชิงสนทนา ที่ใช้เครื่องมืออย่าง AI chatbot, voice agent และแพลตฟอร์มแชทเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์และเฉพาะบุคคลกับลูกค้า
- การสนับสนุนแบบเรียลไทม์: AI chatbot และ voice agent สนทนา ตอบคำถาม และแนะนำลูกค้า
- ประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะสม:some text
- สตาร์ทอัพจะถูกแนะนำให้ทดลองใช้งานฟรีที่เน้นการทำงานร่วมกันในทีม
- ฟรีแลนซ์ได้รับคำตอบเรื่องราคาทันที
- ทีมองค์กรจะได้รับตัวเลือกเพื่อนัดเดโม
อุตสาหกรรมใดบ้างที่ใช้ AI agent ในการตลาดดิจิทัล?

แม้ว่า AI agent จะถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรมสำหรับการตลาดดิจิทัล แต่ตัวอย่างต่อไปนี้คืออุตสาหกรรมยอดนิยมที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
อสังหาริมทรัพย์
เครื่องมือการตลาดดิจิทัลด้วย AI เช่น AI chatbot สำหรับอสังหาริมทรัพย์ ช่วยให้เอเจนต์เชื่อมต่อกับผู้ซื้อได้ง่ายขึ้น ด้วยแคมเปญที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายและการติดต่ออัตโนมัติ เครื่องมือเหล่านี้สามารถ:
- วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจ
- ออกแบบแคมเปญอีเมลเฉพาะบุคคลตามข้อมูลเหล่านี้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ตรงกับความสนใจด้านอสังหาริมทรัพย์
- คัดกรองลีดผ่านการสนทนาและเพิ่มการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย
เช่น คู่รักวัยรุ่นที่ค้นหาบ้านในย่านหนึ่ง อาจเริ่มเห็นโฆษณาบ้านใหม่ในอินสตาแกรม พร้อมลิงก์ทัวร์เสมือนจริง
การเงิน
AI agent ในการตลาดการเงินใช้ข้อมูลเพื่อสร้างแคมเปญที่ทำให้บริการที่ซับซ้อนดูเข้าถึงง่ายและเป็นมิตร
Finance chatbot เปลี่ยนเกมการตลาดดิจิทัลด้วยการแนะนำเฉพาะบุคคล ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ และกระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญที่ปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละคน
เช่น คนที่สนใจคริปโตอาจเห็นโฆษณา YouTube เรื่อง “ลงทุนคริปโตเบื้องต้น” จากนั้น AI จะติดตามด้วยจดหมายข่าวและเครื่องมืออย่างเครื่องคำนวณ ROI เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
SaaS
ในอุตสาหกรรม SaaS AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดดิจิทัลด้วยการระบุเจตนาผู้ใช้และปรับกลยุทธ์การเข้าถึงให้เหมาะสม เครื่องมือ AI ช่วยให้ธุรกิจสามารถ:
- แบ่งกลุ่มผู้ชมตามพฤติกรรม เช่น ความสนใจในฟีเจอร์หรือราคา
- สร้างแคมเปญโฆษณาแบบไดนามิกและเฉพาะบุคคลบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook
- ทำงานอัตโนมัติในเวิร์กโฟลว์อีเมลเพื่อส่งการติดตามผลที่เหมาะสม เช่น คำเชิญเดโมหรือขยายช่วงทดลองใช้งาน ตามการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
ลองนึกถึงบริษัทขนาดกลางที่กำลังมองหาเครื่องมือ CRM ตัวแทน AI จะระบุความสนใจของพวกเขาจากเวลาที่ใช้ในการอ่านบล็อกเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันในทีม ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้มีโฆษณาบน Facebook ที่นำเสนอคุณสมบัติของแพลตฟอร์ม SaaS และตามด้วยคำเชิญเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์แบบเฉพาะบุคคล
อีคอมเมิร์ซ
AI กำลังเปลี่ยนโฉมค้าปลีกออนไลน์ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ตรงเป้าหมายและปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล AI สนทนาสำหรับอีคอมเมิร์ซ ช่วยแนะนำสินค้าแบบเรียลไทม์ตามความชอบของแต่ละคน
เช่น ลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้าเพื่อบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาจเห็นโฆษณา Facebook สำหรับเครื่องครัวรักษ์โลกหลังจากเยี่ยมชมบล็อกของแบรนด์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตสีเขียว ต่อมา พวกเขาจะได้รับอีเมลแนะนำสินค้าที่ตรงกับค่านิยมรักษ์โลก เช่น หลอดดูดน้ำแบบใช้ซ้ำได้
การบริการ
เครื่องมือ AI รวมถึง แชทบอทสำหรับโรงแรม กำลังเปลี่ยนแปลงการตลาดดิจิทัลด้วยการสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลสูง
- นักเดินทางเดี่ยวที่ค้นหาแพ็คเกจผจญภัย อาจเห็นโฆษณา Instagram สำหรับทัวร์เดินป่าพร้อมไกด์ที่ออกแบบตามความชอบของพวกเขา
- แชทบอทโรงแรมสามารถพูดคุยกับนักเดินทางโดยตรง ตอบคำถาม แนะนำตัวเลือกที่เหมาะสม และเสนอส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นการจอง
7 เครื่องมือ AI ชั้นนำในด้านการตลาดดิจิทัล
1. Botpress

Botpress คือแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและยืดหยุ่นสำหรับสร้างตัวแทนการตลาดดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI และโซลูชันที่ใช้ LLM ออกแบบมาสำหรับนักพัฒนาและนักการตลาด ผสมผสานความยืดหยุ่นกับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ความเข้าใจภาษาธรรมชาติ (NLU), รองรับหลายภาษา และใช้งานได้หลายช่องทาง
ด้วย Botpress ผู้ใช้สามารถสร้างตัวแทน AI ที่ปรับแต่งและขยายระบบได้ เหมาะสำหรับการสร้างลีด การทำแคมเปญอัตโนมัติ และการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ตัวแทนเหล่านี้เชื่อมต่อกับ CRM, เครื่องมืออีเมลมาร์เก็ตติ้ง และแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดดิจิทัล
ฟีเจอร์เด่น
- AI สนทนาขั้นสูงด้วยเทคโนโลยี NLU และ LLM
- รองรับหลายภาษาและหลายช่องทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
- เวิร์กโฟลว์ปรับแต่งได้สำหรับงานขายและการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
- เชื่อมต่อกับ CRM, แพลตฟอร์มการตลาด และเครื่องมืออื่น ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ
ข้อดี
- ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับนักพัฒนา สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ
- ขยายระบบได้ดี รองรับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและใหญ่
ข้อเสีย
- การเชื่อมต่อสำเร็จรูปกับบางเครื่องมืออาจมีจำกัด ต้องตั้งค่าเพิ่มเติมในบางกรณี
2. Drift

Drift ซึ่งถูกซื้อกิจการโดย Salesloft ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เป็นแพลตฟอร์มการตลาดสนทนาที่ช่วยให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับลูกค้าเป้าหมายแบบเรียลไทม์
แชทบอท AI ของ Drift เชี่ยวชาญในการคัดกรองลีด อัตโนมัติการนัดหมาย และปรับบทสนทนาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
ฟีเจอร์เด่น
- การตลาดสนทนาแบบเรียลไทม์
- คัดกรองและส่งต่อลีดด้วย AI
- เชื่อมต่อกับ CRM ยอดนิยม เช่น Salesforce และ HubSpot ได้อย่างไร้รอยต่อ
- การนัดหมายอัตโนมัติ
ข้อดี:
- เน้นการขายและส่งต่อลีดแบบเรียลไทม์
- เชื่อมต่อกับ CRM อย่าง Salesforce และ HubSpot ได้ดี
- อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย พร้อมความสามารถแชทบอทขั้นสูง
ข้อเสีย:
- ราคาสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- ฟีเจอร์เน้นการขายเป็นหลัก ใช้งานในกรณีอื่นได้น้อย
3. Intercom

Intercom คือแพลตฟอร์มสื่อสารกับลูกค้าที่ผสมผสานแชทบอท AI กับเครื่องมือส่งข้อความ เพื่อช่วยให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ Intercom เหมาะกับการอัตโนมัติบริการลูกค้า การแนะนำผู้ใช้ใหม่ และคัดกรองลีด
แชทบอทของ Intercom ทำงานร่วมกับแชทสดเพื่อให้ความช่วยเหลือแบบเฉพาะบุคคลแบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์เด่น
- ข้อความเชิงรุกเพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
- แชทบอท AI ผสานกับแชทสด
- วิเคราะห์ผู้ใช้อย่างละเอียดเพื่อการกำหนดเป้าหมายที่ดีขึ้น
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือที่มีอยู่ได้หลากหลาย
ข้อดี:
- ออกแบบอินเทอร์เฟซให้ใช้งานง่ายทั้งสำหรับธุรกิจและผู้ใช้
- ข้อความเชิงรุกยอดเยี่ยมสำหรับการมีส่วนร่วมแบบเฉพาะบุคคล
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือที่มีอยู่ได้ครบถ้วน
ข้อเสีย:
- ราคาแพงสำหรับบริษัทที่มีฐานลูกค้าใหญ่
- ปรับแต่งเวิร์กโฟลว์ขั้นสูงได้น้อย
4. Ada

Ada คือแพลตฟอร์มแชทบอทแบบไม่ต้องเขียนโค้ด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการอัตโนมัติการสื่อสารกับลูกค้าในวงกว้าง
เหมาะกับบริการลูกค้า แชทบอท AI ของ Ada จัดการคำถามทั่วไป แนะนำวิธีแก้ปัญหา และปรับบทสนทนาให้เหมาะกับพฤติกรรมลูกค้า
ฟีเจอร์เด่น
- ตัวสร้างแชทบอทแบบไม่ต้องเขียนโค้ด
- รองรับหลายภาษาเพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
- ฟีเจอร์ปรับแต่งตามพฤติกรรมลูกค้า
- เชื่อมต่อกับ CRM และแหล่งข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ
ข้อดี:
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิค
- รองรับหลายภาษา เข้าถึงผู้ใช้ทั่วโลก
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือ CRM และแหล่งข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ
ข้อเสีย:
- เน้นบริการลูกค้าเป็นหลัก ฟีเจอร์การตลาดมีน้อย
- ปรับแต่งได้น้อยเมื่อเทียบกับตัวเลือกโอเพ่นซอร์ส
5. Tars

Tars คือแพลตฟอร์มแชทบอทที่เน้นสร้างหน้าแลนดิ้งสนทนาเพื่อเพิ่มการสร้างลีดและอัตราการแปลง เหมาะสำหรับธุรกิจที่ทำแคมเปญ PPC โดย Tars แทนที่ฟอร์มแบบเดิมด้วยแชทบอทแบบโต้ตอบที่ช่วยเก็บข้อมูลและนำทางผู้ใช้ให้ดำเนินการจนเสร็จสิ้น
อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแกร่งช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงแคมเปญให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด
ฟีเจอร์เด่น
- หน้าแลนดิ้งสนทนาเพื่อสร้างลีด
- เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ PPC ด้วยแชทบอท
- ตั้งค่าง่ายและวิเคราะห์ข้อมูลได้ดี
- เทมเพลตสำเร็จรูปสำหรับใช้งานทันที
ข้อดี:
- เหมาะกับการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ PPC
- ทำให้การโต้ตอบกับผู้ใช้เรียบง่าย ส่งผลให้อัตราการแปลงสูงขึ้น
- อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย ตั้งค่าได้รวดเร็ว
ข้อเสีย:
- จำกัดการใช้งานเฉพาะการสร้างลีดและหน้าแลนดิ้ง
- ไม่แข็งแกร่งสำหรับการมีส่วนร่วมกับลูกค้าในระยะยาว
6. ManyChat

ManyChat เป็นเครื่องมือสร้างแชทบอทที่เน้นอัตโนมัติการโต้ตอบบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Messenger, Instagram และ WhatsApp ออกแบบมาสำหรับนักการตลาดและธุรกิจขนาดเล็ก ManyChat ช่วยให้สร้างลีด มีส่วนร่วมกับลูกค้า และติดตามผลได้ง่ายด้วยอินเทอร์เฟซแบบลากวาง
ด้วยการเชื่อมต่อกับเครื่องมืออีคอมเมิร์ซและ CRM ManyChat ช่วยธุรกิจเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการตลาดแบบสนทนา
ฟีเจอร์เด่น
- ระบบอัตโนมัติสำหรับการตลาดโซเชียลมีเดียบนหลายแพลตฟอร์ม
- อินเทอร์เฟซลากวางสำหรับสร้างแชทบอทง่าย ๆ
- เชื่อมต่อกับเครื่องมืออีคอมเมิร์ซและ CRM
- รองรับแคมเปญการตลาดแบบสนทนาและโต้ตอบ
ข้อดี:
- ราคาย่อมเยาสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
- มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการตลาดอัตโนมัติบนโซเชียลมีเดีย
- ตัวสร้างแบบลากวางใช้งานง่าย
ข้อเสีย:
- ใช้งานนอกเหนือจากโซเชียลมีเดียได้น้อย
- การพึ่งพา API ของแพลตฟอร์มอาจทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการอัปเดต
ยกระดับการตลาดดิจิทัลของคุณด้วย AI
ทุกวันนี้ แคมเปญการตลาดดิจิทัลได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้ AI เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ปรับประสบการณ์ลูกค้าให้เป็นส่วนตัว และสร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณค่า
มันเหมือนกับการเปลี่ยนมาใช้ GPS หลังจากใช้แผนที่กระดาษมาตลอดชีวิต
พร้อมเปลี่ยนแปลงการตลาดดิจิทัลของคุณหรือยัง? Botpress มีเครื่องมือที่คุณต้องการในการสร้างโซลูชัน AI ที่ปรับแต่งได้เอง รวมถึงแชทบอทขั้นสูงและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ
คำถามที่พบบ่อย
1. ข้อมูลประเภทใดที่ AI agent ต้องใช้เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
AI agent ต้องเข้าถึงข้อมูลที่มีโครงสร้าง (เช่น ข้อมูลจาก CRM และการวิเคราะห์เว็บไซต์) และข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (เช่น บันทึกการสนทนาและปฏิสัมพันธ์บนโซเชียลมีเดีย) เพื่อให้ทำงานได้ดี ยิ่งข้อมูลเกี่ยวข้องและหลากหลายมากเท่าไร agent ก็จะสามารถปรับข้อความและทำงานอัตโนมัติได้ดีขึ้นเท่านั้น
2. ข้อมูลที่ AI agent วิเคราะห์ในบริบทการตลาดมีความปลอดภัยแค่ไหน?
ข้อมูลที่ AI agent วิเคราะห์ในบริบทการตลาดจะถูกปกป้องด้วยโปรโตคอลการเข้ารหัสและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น GDPR, CCPA และ SOC 2 อย่างไรก็ตาม ระดับความปลอดภัยจริงขึ้นอยู่กับการตั้งค่านโยบายข้อมูลของแต่ละธุรกิจและการตรวจสอบเครื่องมือจากภายนอกอย่างเหมาะสม
3. AI agent แตกต่างจากโมเดล machine learning ในการตลาดอย่างไร?
AI agent แตกต่างจากโมเดล machine learning ตรงที่ AI agent ไม่เพียงวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังตัดสินใจแบบเรียลไทม์และจัดการเวิร์กโฟลว์ได้เอง ในขณะที่โมเดล machine learning จะให้ข้อมูลเชิงลึกและการคาดการณ์ แต่ AI agent จะนำผลลัพธ์เหล่านั้นไปดำเนินกลยุทธ์การตลาดโดยตรง
4. สามารถเชื่อมต่อ AI agent กับ MarTech stack ที่มีอยู่ (เช่น HubSpot, Mailchimp ฯลฯ) ได้หรือไม่?
ได้ AI agent สามารถเชื่อมต่อกับ MarTech stack ที่มีอยู่ เช่น HubSpot, Mailchimp, Salesforce และอื่น ๆ ผ่านการเชื่อมต่อที่มีอยู่หรือ API แบบกำหนดเอง ช่วยให้สามารถทำงานติดตามผลอัตโนมัติและรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายแพลตฟอร์มได้
5. ความท้าทายในการเชื่อมต่อ AI agent กับเครื่องมือ CRM และการวิเคราะห์มีอะไรบ้าง?
ความท้าทายหลักในการเชื่อมต่อ AI agent กับเครื่องมือ CRM และการวิเคราะห์ ได้แก่ ความแตกต่างของโครงสร้างข้อมูล การเข้าถึง API ที่จำกัด ปัญหาการซิงค์ข้อมูล และการปรับพฤติกรรม AI ให้สอดคล้องกับกฎเฉพาะของธุรกิจ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการตั้งค่าทางเทคนิคและการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ AI ทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ





.webp)
